กรงเหล็ก

กรงเหล็ก สตีลอะไซลัมนั้นจะเริ่มต้นด้วยการให้นักมวยปล้ำที่เข้าร่วมทั้งหมด

ข่าวกีฬาต่างประเทศแม้ว่าในวงการมวยปล้ำจะมีแมตช์ กรงเหล็ก อยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเฮลอินอะเซลล์ที่มีหลังคาปิดหรือจะเป็นสตีลเคจที่เป็น กรงเหล็ก เปิดอย่างที่หลายคนรู้จักกันดี แต่ทว่าในสมาคมทีเอนเอที่มักจะคิดค้นกติกาบนเวทีใหม่ๆ ขึ้นมา จนกระทั่งในปี 2008 ที่พวกเขาตัดสินใจนำไอเดียที่ต่อยอดมาจากค่ายเวิลด์แชมป์เปี้ยนชิพเรสลิ่งพร้อมให้เหล่านักมวยปล้ำเหินเวหานั้นมาสู้กันเพื่อหาคนที่อยู่รอดคนสุดท้ายและใช้ชื่อว่าสตีลอะไซลัมนั่นเอง                สำหรับกติกาของกรงเหล็กสตีลอะไซลัมนั้นจะเริ่มต้นด้วยการให้นักมวยปล้ำที่เข้าร่วมทั้งหมดขึ้นเวทีพร้อมกันและวิธีการเดียวที่จะเอาชนะก็คือปีนขึนไปบนหลังคาของกรงและลอดออกทางช่องกลางหลังคาเพื่อเอาชนะไป ซึ่งผู้ชนะคนแรกของแมตช์นี้ก็คือแฟรงค์กี้ คาซาเรียนที่สามารถคว้าสิทธิชิงแชมป์เอกซ์ดิวิชั่นไปได้พร้อมกับได้ปล้ำเป็นคู่เอกของรายการแซคคิไฟซ์ปี 2008 แทนที่เคิร์ท แองเกิ้ลที่ได้รับบาดเจ็บจนต้องถอนตัวไป                ส่วนกรงเหล็กครั้งที่น่าจดจำต่อมาจะเกิดขึ้นในปี 2010 ที่เหล่านักมวยปล้ำลีกเอกซ์ต้องมาสู้กันอีกครั้งในรายการอิมแพคที่จัดเป็นรายการสดครั้งแรกและมีการปรากฏตัวของเจฟฟ์ ฮาร์ดี้ในช่วงท้ายอีกด้วย โดยสุดท้ายผู้ชนะที่ถูกลืมวันนั้นจะเป็นโฮโมไซด์อดีตแชมป์เอกซ์ดิวิชั่นนั่นเอง ก่อนที่แมตช์นี้จะหายไปเพราะฮัล์ค โฮแกนและเอริค บิชอฟฟ์ไม่ได้สนใจในลีกของนักมวยปล้ำตัวเล็กเท่าไหร่นัก                น่าเสียดายที่แมตช์กรงเหล็กอย่างสตีลอะไซลัมจะไม่เกิดขึ้นอีก ด้วยเหตุผลทางสถานที่และตัวกรงที่ปีนได้ยากเกินไปสำหรับนักมวยปล้ำ ซึ่งจะเห็นได้ว่าทั้งเจย์ ลีทัลและคริสโตเฟอร์ เดเนี่ยลส์ที่เคยเป็นผู้ชนะนั้นต่างมีปัญหาในการปีนออกจากกรงเสมออีกทั้งเสี่ยงจะเกิดอันตรายกับคนที่อยู่ด้านล่างอีกด้วย

Continue Reading

มอร์ติส นักมวยปล้ำใส่หน้ากากที่มีเชื้อสายละตินชื่อเสียงในวงการมวยปล้ำ

ในช่วงปี 1997 นั้น ทางคริส แคนยอนได้เปลี่ยนบทบาทครั้งสำคัญของตัวเองและกลายเป็น มอร์ติส นักมวยปล้ำใส่หน้ากากที่มีเชื้อสายละติน ก่อนที่ชื่อเสียงของเขาจะเริ่มดีขึ้นจากความเท่ของนักมวยปล้ำหน้ากากกะโหลกนี้เอง จนกระทั่งวันหนึ่งเจ้าตัวได้เปลี่ยนบทบาทไปอยู่กับกลุ่มของเรเว่นและไดม่อน ดัลลาส เพจ และเปิดเผยกับผู้คนว่าเขาคือนักมวยปล้ำเกย์จนประสบปัญหาทางจิตเสมอมา ติดตามต่อได้ในข่าวกีฬาต่างประเทศ                จุดเริ่มต้นของคริส แคนยอนมาสู่ มอร์ติส เกิดขึ้นจากทางแคนยอนที่รับบทบทเป็นนักมวยปล้ำระดับล่างเท่านั้น จนกระทั่งเจ้าตัวได้เจมส์ วานเดนเบิร์กมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวพร้อมสไตล์การปล้ำที่เร้าใจแฟนๆ ซึ่งทางนักมวยปล้ำแห่งความตายมักจะสู้กับกราเซียร์เสมอ จนกระทั่งในปี 1998 ที่เขาเริ่มหมดบทบาทและไปขอเข้าร่วมกลุ่มเดอะฟลอกกับเรเว่นแทน และเป็นจุดที่ทำให้เขาได้แสดงฝีมือออกมามากขึ้นอีกด้วย                จนกระทั่งเวลาผ่านไปและการล่มสลายของเวิลด์แชมป์เปี้ยนชิพเรสลิ่งมาถึง ทางอดีตมอร์ติสก็ได้ย้ายมาสู่ค่ายใหม่ที่เป็นคู่แข่งอย่างเวิลด์เรสลิ่งเอนเตอร์เทนเมนต์ในฐานะกลุ่มแอนไลแอนซ์หรือรวมศิษย์เก่าของค่ายอื่นนั่นเอง โดยในช่วงนี้เขากลับได้รับอาการบาดเจ็บหนักจากหัวเข่าและหัวไหล่จนกระทั่งเกือบเสียชีวิต รวมทั้งน้ำหนักลดลงไปมากถึง 15 กิโลกรัมด้วยกัน ก่อนที่ต่อมาเขาจะกลับมาปล้ำได้อีกเพียงปีเดียวพร้อมถูกไล่ออกไปเพราะเขาเป็นนักมวยปล้ำเกย์นั่นเอง มอร์ติส ได้ย้ายมาสู่ค่ายใหม่ที่เป็นคู่แข่ง                ในช่วงแรกที่เขาออกมาจากสมาคมใหญ่แล้วนั้น อดีตมอร์ติสได้เปิดเผยว่านั่นไม่ได้เป็นเพียงบทบาทในเรื่องเท่านั้น แต่แคนยอนเป็นนักมวยปล้ำเกย์ในชีวิตจริง โดยเจ้าตัวพยายามปิดบังมาตลอดพร้อมกับเป็นโรคไบโพลาร์ที่ทำให้เขาพยายามฆ่าตัวตายมาหลายครั้ง จนกระทั่งเขาเสียชีวิตลงจากการใช้ยาแก้ปวดมากเกินไปในปี 2010 พร้อมกับจดหมายสั่งลาให้กับครอบครัว ปิดตำนานไปอย่างน่าเสียใจ

Continue Reading
เวิลด์แชมป์เปี้ยนชิพเรสลิ่ง

เวิลด์แชมป์เปี้ยนชิพเรสลิ่ง จนทำให้ควบคุมบทบาทของตัวเองได้ด้วย

ข่าวกีฬาต่างประเทศแม้ว่าชื่อของฮัล์ค โฮแกนจะคุ้นเคยสำหรับแฟนมวยปล้ำชุค 80 ถึงต้น 90 มาตลอดในฐานะหน้าตาของวงการมวยปล้ำ ไม่ว่าจะเป็นบทบาทธรรมะเบอร์หนึ่งของค่าย รวมถึงมีโอกาสไปแสดงภาพยนตร์อยู่มากมายจนทำให้วงการเป็นที่นิยมถึงขั้นสูงสุด แต่ทว่าเบื้องหลังนั้นเจ้าตัวกลับเป็นคนที่ใช้อิทธิพลหลังฉากอยู่บ่อยครั้ง จนกระทั่งภาพการใช้อำนาจของเจ้าตัวได้ส่งผลไปถึงค่ายมวยปล้ำที่เจ้าตัวไปปรากฎตัวไม่ว่าจะเป็นเวิลด์เรสลิ่งเฟดเดอเรชั่นหรือ เวิลด์แชมป์เปี้ยนชิพเรสลิ่ง ก็ตาม                เหตุการณ์แรกๆ ที่แฟนมวยปล้ำได้เห็นโฮแกนใช้อิทธิพลหลังฉากก็คือการเป็นคู่เอกในรายการเรสเซิ่ลมาเนียครั้งที่เก้านั่นเอง ซึ่งเดิมทีแมตช์สุดท้ายของค่ำคืนจะเป็นการเจอกันระหว่างฮิตแมนเบรท ฮาร์ทแชมป์โลกในขณะนั้นที่ต้องป้องกันแชมป์กับโยโกะซูน่าผู้ท้าชิงร่างยักษ์ก่อนที่จะเป็นทางฝ่ายหลังที๋โกงและเอาชนะคว้าแชมป์จากฮาร์ทไปได้ แต่ทว่าหลังแมตช์ทางโฮแกนได้เข้ามาพร้อมกับถูกท้าชิงแชมป์ต่อทันที ก่อนที่เจ้าตัวจะเอาชนะไปได้ท่ามกลางความงุนงงของแฟนๆ                จากนั้นไม่นานเมื่องทางโฮแกนได้ย้ายไปยังค่ายคู่แข่งในปี 1994 นั้น เจ้าตัวยังมีสัญญากับสมาคม เวิลด์แชมป์เปี้ยนชิพเรสลิ่ง จนทำให้ควบคุมบทบาทของตัวเองได้ด้วย โดยการใช้อิทธิพลหลังฉากของเขาก็เกิดขึ้นอีกครั้งในปี 1996 ที่เจ้าตัวได้เป็นคู่เอกในรายการสตาร์เคจพร้อมขึ้นปล้ำเจอกับราวดี้ ร็อดดี้ ไพเพอร์ ที่แม้ว่าไพเพอร์จะเป็นผู้ชนะไปได้ แต่ในแมตช์ที่ว่านั้นกลับไม่ใช่การชิงแชมป์โลกแต่อย่างใด ซึ่งนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นักมวยปล้ำเชื้อสายสก็อตไม่เคยได้แชมป์โลกเลยตลอดชีวิตของเขา                ด้วยการใช้อิทธิพลหลังฉากของเขานี่เองทำให้ทางสมาคมเวิลด์แชมป์เปี้ยนชิพเรสลิ่งไม่มีโอกาสได้ขึ้นมาเป็นนักมวยปล้ำระดับสูงอย่างโฮแกนเลย ซึ่งคนที่หลุดรอดมาได้นั้นก็จะมีเพียงบิลล์ โกลด์เบิร์กและไดม่อน ดัลลาส เพจที่ก้าวขึ้นมาในช่วงที่ผู้นำนิวเวิลด์ออเดอร์เริ่มมีปัญหากับทีมงานหลังฉากนั่นเอง

Continue Reading