ร็อดดี้ ไพเพอร์

ร็อดดี้ ไพเพอร์ ที่สร้างชื่อในวงการบังเทิงจากภาพยนต์สยองเรื่องเธย์ลีฟ

ชื่อของราว ร็อดดี้ ไพเพอร์ น่าจะเป็นนักมวยปล้ำตัวแสบของสมาคมชื่อดังอย่างดับเบิ้ลยูดับเบิ้ลยูเอฟที่แฟนมวยปล้ำรุ่นใหญ่น่าจะจดจำกันได้ดี แต่ทว่านอกจากนี้จากเรื่องราวบนสังเวียนผ้าใบแล้วนั้น เจ้าตัวยังเคยมีโอกาสไปโลดแล่นในวงการบันเทิงมาแล้ว โดยเฉพาะในปลายยุค 80 ที่เจ้าตัวเริ่มเบนความสนใจไปสู่งานแสดงมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์สยองขวัญอย่างเรื่องเฮลคัมส์ทูฟรอกทาวน์หรือจะเป็นเธย์ลีฟที่ทำให้ร็อดดี้ ไพเพอร์หรือเจ้าของฉายาฮ็อตร็อดได้กลายเป็นนักแสดงสุดเท่ของภาพยนตร์สุดแปลกในช่วงหนึ่งเลยทีเดียว                ช่วงที่ ร็อดดี้ ไพเพอร์ เริ่มจะหันไปสนใจด้านอื่นนอกจากการเป็นนักมวยปล้ำก็คือช่วงที่เขาได้จบบทบาทกับมิสเตอร์ทีหรือนักแสดงชื่อดังของเรื่องเอทีมในเวลานั้น ก่อนที่เขาจะได้กลับมาทิ้งท้ายเรื่องราวกับนักมวยปล้ำตัวแสบอีกคนในเวลานั้นอย่างเอเดรียน อดอนิสที่มีคาวบอยบ็อบ ออร์ตันอดีตคนสนิทย้ายไปอยู่กับอดอนิสด้วย ซึ่งผลก็ทำให้เขากลายเป็นฝ่ายธรรมะเอาเสียเอง พร้อมกับส่งท้ายช่วงเวลาการเป็นนักกีฬาอย่างเต็มตัวไปในรายการเรสเซิลมาเนียครั้งที่ 3 โดยสามารถเอาชนะอดอนิสในกติกาเดิมพันผมและทำให้เอเดรียนต้องถูกโกนหัวไปในที่สุด หลังจากที่ ร็อดดี้ ไพเพอร์ ได้หันหลังจากการเป็นนักมวยปล้ำไปแล้ว         เขาก็มีโอกาสได้มาเข้าสู่วงการภาพยนตร์บ้าง จากผลงานของผู้กำกับชื่อดังอย่างจอห์น คาร์เพนเตอร์ที่ได้เลือกไพเพอร์มาแสดงในภาพยนตร์สยองขวัญชื่อว่าเธย์ลีฟที่ทำให้บทพระเอกของฮ็อตร็อดกลายเป็นภาพจำของคนรักภาพยนตร์เกรดรองไปเลยทีเดียว โดยเฉพาะในประโยคเด็ดที่เขาพูดว่า ฉันมาที่นี่เพื่อเคี้ยวหมากฝรั่งและเล่นงานใครสักคน แต่ตอนนี้หมากฝรั่งของฉันหมดไปแล้ว ซึ่งประโยคเด็ดนี้ทางไพเพอร์เป็นผู้คิดขึ้นมาเองและกลายเป็นประโยคสุดเท่ของเจ้าตัวไปตลอดเลยทีเดียว                แม้ว่าร็อดดี้ ไพเพอร์จะยังคงหวนคืนวงการมวยปล้ำในฐานะ นักมวยปล้ำ และผู้จัดการให้คนอื่น ๆ บ้างก็ตาม แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า หน้าตาของเขาได้ถูกจดจำผ่านแฟน ๆ ของภาพยนตร์สยองขวัญเกรดรองไปแล้วเช่นกัน รวมถึงตัวเขายังมีโอกาสได้แสดงซีรีย์หรือรายการโทรทัศน์มาตลอดจนเป็นอีกคนที่ประสบความสำเร็จนอกวงการนั่นเอง ติดตามความเคลื่อนไหวของข่าวกีฬาอีกมากมายได้ที่ ข่าวกีฬาต่างประเทศ และในวันนี้เรามีเว็บไซต์ของเกมกีฬาฟุตบอลมาให้ร่วมเล่นและวางเดิมพันได้ที่ 7slotvip เรามีทีมงานที่คอยให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง

Continue Reading
กีฬาฮอกกี้

บัฟฟาโล่ซาเบส กับเซนท์หลุยส์บลูส์ต้องเอ่ยปากให้เปลี่ยนมุมกล้องออกไปทันที

จากเดิมนั้นกีฬาฮอกกี้ก็ถือเป็นกีฬาที่อันตรายอยู่แล้ว จากการที่ต้องไปลงเล่นบนสนามที่เป็นพื้นน้ำแข็งและการเข้าปะทะที่มักจะรุนแรงจนทำให้เกิดมวยในสนามอยู่เสมอ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคลินท์ มาลาร์ชัคกลับเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดเช่นกัน เมื่อทางมาลาร์ชัคได้บังเอิญโดนลูกหลงจนทำให้รองเท้าสเก็ตของเพื่อนคู่แข่งได้เข้าไปบาดที่คอของเขาทันที จนทำให้สนามท่วมไปด้วยเลือกของเขาและผู้บรรยายในเกมระหว่าง บัฟฟาโล่ซาเบส กับเซนท์หลุยส์บลูส์ต้องเอ่ยปากให้เปลี่ยนมุมกล้องออกไปทันที ในเกมฮอกกี้ระหว่าง บัฟฟาโล่ซาเบส กับบลูส์นั้น ทางสตีฟ ทัทเทิลจากทีมบลูส์กับอูเว ครุปป์ ของทีมซาเบสได้พุ่งเข้าชนกันบริเวณหน้ากรอบประตูของซาเบส ซึ่งในระหว่างที่ทัทเทิลล้มลงไปนั่นเอง รองเท้าสเก็ตของเขาได้เข้าไปบาดใส่คอของมาลาร์ชัคทันที โดยที่เลือดของมาลาร์ชัคได้พุ่งออกไปบนสนามและทำให้คนดูในสนามเกิดรู้สึกไม่ดีทันที ทั้งมีคนดูหลายคนที่เกิดอาการเป็นลมทันทีและคนดูอีกสองคนที่เกิดอาการหัวใจวายขึ้นมาเช่นกัน ส่วนผู้เล่นในสนามบางคนก็ต้องอาเจียนหลังจากเห็นบาดน่ากลัวนี้อีกด้วย                โชคดีที่แพทย์ในสนามอย่างจิม พิซซูเทลลี่ ซึ่งเป็นอดีตทหารที่เคยไปรบในเวียดนามมาแล้ว มีความสามารถห้ามเลือดให้นักฮอกกี้คนนี้จนสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แม้ว่าทางคลินท์ มาลาร์ชัคยังเชื่อว่า ตัวเขาคงจะต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ไปแล้วก็ตาม โดยทางมาลาร์ชัคได้เสียเลือดไปมากถึง 1.5 ลิตรและเย็บแผลมากถึง 300 เข็มเลยทีเดียว รวมถึงมีแผลยาวถึง 6 นิ้วด้วยกัน แต่ทว่าเจ้าตัวก็กลับมาลงสนามให้กับทีมบัฟฟาโล่ซาเบสได้อีกครั้งใน 10 วันต่อมา แม้ว่าในเวลาต่อมาเขายังคงต้องกลับไปรักษาสุขภาพจิตจากเหตุการณ์ที่เคยเหตุการณ์มาก็ตาม                น่าเสียดายที่หลังจากที่มาลาร์ชัคลงเล่นในฮอกกี้ลีคต่อได้ไม่นาน เขาก็ต้องบอกลาวงการไป ก่อนที่จะหันไปเอาดีด้านการเป็น โค้ช ให้กับทีมต่าง ๆ และยังมีปัญหาส่วนตัวในเรื่องการติดแอลกอฮอลและโรคย้ำคิดย้ำทำ จนทำให้เขาจะต้องพักรักษาตัวอยู่เป็นระยะจนถึงปัจจุบันเลยทีเดียว ติดตาม ข่าวกีฬาต่างประเทศ กับเว็บไซต์ของเราได้ตลอด 24 ชั่วโมง ร่วมวางเดิมพันและเข้าเล่นเกมกีฬาสุดมันส์และทันสมัยกับเราได้ที่ […]

Continue Reading
ซิดวิเชียส

ซิดวิเชียส จะได้ต้องขึ้นปล้ำในกติกาสี่เส้าเพื่อชิงแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวทของสมาคม

ในปลายยุค 90 ถึงต้น 2000 จัดว่าเป็นช่วงที่วงการมวยปล้ำมีความเผ็ดร้อนอยู่มาก ทั้งเรื่องเรตติ้งของสองสมาคมดังอย่างดับเบิ้ลยูซีดับเบิ้ลยูและดับเบิ้ลยูดับเบิ้ลยูเอฟในเวลานั้นพยายามขับเคี่ยวเพื่อความเป็นหนึ่งในโลก จนทำให้มักจะมีการตัดสินใจแปลก ๆ อยู่เสมอเพื่อทำให้คนหันมาสนใจรายการของตัวเองมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในการตัดสินใจครั้งเลวร้ายที่สุดก็เกิดขึ้นกับนักมวยปล้ำที่ชื่อว่า ซิดวิเชียส ในรายการซิน โดยสาเหตุหลักก็เพราะความนิยมของสมาคมดับเบิ้ลยูซีดับเบิ้ลยูนั้นตกลงไปมากจนพวกเขาต้องการความสดใหม่ในรายการพวกเขานั่นเอง                คู่เอกของค่ำคืนนั้นทาง ซิดวิเชียส จะได้ต้องขึ้นปล้ำในกติกาสี่เส้าเพื่อชิงแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวทของสมาคม ซึ่งในแมตช์จะมีทั้งซิด สก็อต สไตเนอร์ เจฟฟ์ จาเรตต์และนักมวยปล้ำปริศนาอีกคน แต่ในระหว่างที่สามคนแรกได้เริ่มต้นขึ้นสู้กันไปก่อนแล้วนั้น ก็มีจังหวะหนึ่งที่ซิดที่สูงเกือบ 2 เมตรและน้ำหนักกว่า 300 ปอนด์ได้ขึ้นไปยืนอยู่บนมุมเวทีและพยายามใช้ท่าถีบหรือบิ๊กบูทเข้าที่สไตเนอร์ แต่ด้วยน้ำหนักที่มากเกินไปของเขาทำให้ขาซ้ายที่ถึงพื้นเวทีก่อนของเขาไม่สามารถรับน้ำหนักทั้งหมดไว้ได้แต่หักเป็นสองท่อนทันที หลังจากที่ ซิดวิเชียส ได้แต่นอนบนเวทีเฉย  ๆ เพราะขาหักไปแล้ว รายการซินก็ต้องรีบตัดจบไป เมื่อทางสมาคมลงโร้ดวอริเออร์แอนิมัลมาเป็นนักมวยปล้ำคนที่สี่ในแมตช์และทำร้ายซิดซ้ำ ก่อนจะปล่อยให้สไตเนอร์เจ้าของตำแหน่งกดนับสามเอาชนะไป แต่สิ่งที่คนสนใจมากกว่านั้นก็คือซิดได้ออกมาเปิดเผยในภายหลังว่า ทางสมาคมได้กดดันให้เขาลองใช้ท่าเหินเวหาดูบ้างเพื่อไม่ให้การปล้ำดูน่าเบื่อเกินไป แม้ว่าซิดจะไม่เคยฝึกท่านี้มาก่อนเลยก็ตาม ก่อนที่เขาจำเป็นจะต้องเข้ารับการรักษาตัวอยู่นานและไม่อาจกลับมาเป็นนักมวยปล้ำได้เต็มเวลาอีกต่อไป                โชคดีที่ซิดวิเชียสยังสามารถกลับมาเดินหรือวิ่งได้ตามปกติ รวมถึงยังกลับมาสู่บนเวที มวยปล้ำ อยู่เป็นครั้งคราว แต่ความกระหายเรตติ้งของค่ายดับเบิ้ลยูซีดับเบิ้ลยูนั้นก็วนกลับมาทำร้ายตัวเอง เมื่อจบรายการซินไปได้ไม่นาน สมาคมที่เคยเป็นอันดับหนึ่งของโลกก็ต้องปิดตัวลงไปอย่างน่าเสียดายในปี 2001 และปล่อยให้วงการมวยปล้ำซบเซาลงจนถึงปัจจุบัน ติดตามเรื่องราวของวงการมวยปล้ำที่ดุเดือดเพิ่มเติมได้ที่ ข่าวกีฬาต่างประเทศ เกมกีฬาที่หลายคนสนใจในวันนี้มีออกมาเป็นรูปแบบของเกมให้เลือกเล่นมากมายที่เว็บไซต์ bslot89 […]

Continue Reading
เมเจอร์ลีก

มอยเซ่ อะลู ผู้แข็งแกร่งกับอาการบาดเจ็บข้อเท้าในกีฬาเบสบอล

พูดถึงตำนานในวงการเบสบอลนั้นก็คงจะต้องเอ่ยชื่อของพ่อลูกตระกูลอะลูกันบ้าง หลังจากที่ผู้พ่ออย่างฟิลิเป้ก็เคยเป็นผู้จัดการให้ทีมอย่างเอกซ์โพมาก่อน รวมถึงพี่น้องของเขาอย่างแมตตี้และเฆซุสหรือญาติอย่างเมล โรฆาสก็เคยลงเล่นในระดับเมเจอร์ลีกมาก่อน แต่ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับ มอยเซ่ อะลู กับเป็นเรื่องราวที่ต่างออกไป ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นเอาท์ฟิลด์ที่มักจะตีลูกด้วยมือเปล่าเสมอและอาการบาดเจ็บข้อเท้าหักที่น่าสยองจนทำให้ชื่อของเขาถูกจดจำในรูปแบบที่ต่างออกไปเลยทีเดียว                แม้ว่าจุดเริ่มต้นของ มอยเซ่ อะลู นั้นจะไม่ได้ชื่นชอบเบสบอลเท่าไหร่นักและสนใจในกีฬาบาสเกตบอลมากกว่าก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วมอยเซ่ในวัย 18 ปีก็มีโอกาสมาลงเล่นให้สมัยเรียนวิทยาลัยแคนาดาในรัฐคาลิฟอร์เนีย ก่อนที่ทักษะของเขาจะฉายแสงออกมาจนเหล่าแมวมองในวงการเห็นและถูกส่งชื่อเข้าไปในการดราฟต์ผู้เล่นในเมเจอร์ลีกของปี 1986 และได้ย้ายไปเล่นให้กับทีมพิตส์เบิร์ดไพเรตส์ ก่อนที่จะถูกแลกตัวมาสู่ทีมมอลทรีออลเอกซ์โพที่มีพ่อของเขาเป็นผู้จัดการทีมอยู่ในปี 1990 และหลังจากนั้นอีกสามปีต่อมา ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้มอยเซ่ต้องเปลี่ยนรูปแบบการเล่นไปตลอดกาล การที่ มอยเซ่ อะลู ได้ใช้ความเร็วและพละกำลังที่แข็งแกร่งของเขาในการลงเล่นบนสนาม นั่นเองก็ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นเอาท์ฟิลด์คนสำคัญของเอกซ์โพจนกระทั่งในปี 1993 มอยเซ่กลับได้รับอาการบาดเจ็บข้อเท้าหักที่สนามเบสบอลเซนท์หลุยส์บุสช์ หลังจากที่เขาพยายามวิ่งไปหาลูกและพลิกตัวย้อนกลับไปหาเบสก่อนหน้านี้ ซึ่งทำให้ข้อทเของเขาพลิก 90 องศาทันทีและต้องพักการแข่งขันไปตลอดฤดูกาล 1993 เลยทีเดียว แม้ว่ามอยเซ่จะกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง แต่ตำแหน่งของเจ้าตัวก็เปลี่ยนไปเป็นเอาท์ฟิลด์ที่มุมอย่างเต็มตัว                ถึงตัวของมอยเซ่ อะลูจะเกิดเหตุการณ์หนัก ๆ ก็ตาม แต่ในปี 1997 นั้นเขาก็ประสบความสำเร็จเข้าจนได้ เมื่อเจ้าตัวได้ลงเล่นให้กับทีมฟลอริด้ามาร์ลินส์และสามารถพาทีมคว้าแชมป์ใหญ่ที่สุดในวงการ เบสบอล อย่างเวิลด์ซีรีย์ หลังจากคว้าชัยเหนือคลีฟแลนด์อินเดียนส์ ซึ่งในเวลานั้นไม่มีใครคาดว่า เอาท์ฟิลด์ที่เคยข้อเท้าหักอย่างมอยเซ่จะกลับมาเป็นแชมป์ได้แล้วอีกด้วย ติดตามข่าวกีฬาเพิ่มเติมได้ที่ ข่าวกีฬาต่างประเทศ […]

Continue Reading
แอนเดอสัน ซิลวา

แอนเดอสัน ซิลวา จากแชมป์ไร้พ่ายสู่ชายที่ผู้โชคร้ายของวงการมวยยูเอฟซี

หากพูดถึงตำนานของวงการมวยยูเอฟซี หลายคนก็คงต้องคุ้นหน้ากับชายที่ชื่อว่า แอนเดอสัน ซิลวา กันมาบ้างแล้ว หลังจากที่เจ้าตัวเคยเป็นแชมป์มิดเดิ้ลเวทของสมาคมมาเป็นระยะเวลานาน แต่ทว่าหลังจากที่เขาเป็นแชมป์ผู้ไร้พ่ายมานานจนเกินไป ก็ทำให้ซิลวาเริ่มประมาทคู่ต่อสู้จนต้องเสียแชมป์ที่เคยคาดกันว่า เขาจะไม่มีวันเสียจนถึงเวลาเกษียณตัวเอง ไปจนถึงอาการบาดเจ็บและขาหักกับไฟท์ระหว่างคริส วีดเดอร์ที่ทำให้เขาสูญเสียตัวตนและไม่กลับมาเป็นคนเดิมอีกเลย                ในวันที่ แอนเดอสัน ซิลวา อยู่บนจุดสูงสุดของสมาคมยูเอฟซีก็คงหนีไม่พ้นปี 2006 ที่เขาสามารถเอาชนะริช แฟรงคลินมาได้และกลายเป็นแชมป์โลกรุ่นมิดเดิ้ลเวทคนใหม่ของสมาคม ก่อนที่รูปแบบการชกของเขาจะเริ่มเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่ใช้ความเร็วในการโจมตีคู่ต่อสู้ กลับเปลี่ยนเป็นการเลือกที่จะหลบคู่แข่งแทนในช่วงเวลาที่เขาเชื่อว่าทำคะแนนเหนือคู่ต่อสู้อยู่จนทำให้ซิลวามักจะเอาชนะคะแนนได้เสมอและป้องกันแชมป์ไปได้ แม้ว่าเจ้าของสมาคมอย่างดาน่า ไวท์จะไม่ได้พอใจนักชกชาวบราซิลนี้นัก เนื่องจากสู้ได้ไม่สมศักดิ์ศรีของแชมป์นั่นเอง แต่ทว่าวันที่ แอนเดอสัน ซิลวา ต้องเสียแชมป์ยูเอฟซีก็มาถึง เมื่อเขาได้สู้กับคริส วีดเดอร์ เพื่อจะส่งท้ายอาชีพของเขา เจ้าตัวกลับเลือกที่จะยั่วผู้ท้าชิงในยกสอง ทว่าครั้งนี้เขาพลาดและโดนอัดจนกรรมการยุติการชกพร้อมกับเสียแชมป์ไปได้ทันที หลังจากนั้นไม่นาน ทางซิลวาก็กลับมาขอท้าชิงอีกครั้งในปลายปี 2013 แต่กลับเกิดเหตุการณ์ที่โชคร้ายยิ่งกว่าเก่า เมื่อเขาพยายามจะเตะเข้าไปที่ขาของวีดเดอร์ แต่โดนเจ้าของแชมป์ยกขาขึ้นมากันไว้ ส่งผลให้ซิลวาขาหักเป็นสองท่อนทันที แล้วกรรมการต้องสั่งยุติการชกอีกครั้ง                แม้ว่าแอนเดอสัน ซิลวาจะรักษาอาการบาดเจ็บไปไม่นานอย่างที่คนอื่นคาดไว้ แต่ทว่าชีวิตใน ยูเอฟซี หลังจากวันที่เขาขาหักนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นหลังมือ เพราะมักจะเกิดปัญหาทั้งเรื่องอาการบาดเจ็บ การใช้สารกระตุ้นหรือไม่ก็แพ้ต่อนักชกคนอื่น ๆ อยู่เสมอ จนทำให้ในปี 2020 นั้นเขาก็ได้ถูกยกเลิกสัญญาออกจากค่ายดังไปในที่สุด […]

Continue Reading
เอริค เลอแกรนด์

เอริค เลอแกรนด์ นักอเมริกันฟุตบอลกับอุบัติเหตุที่ยากจะลืมในอดีต

สำหรับกีฬาอย่างอเมริกันฟุตบอลนั้นก็ถือว่า เป็นอีกหนึ่งการแข่งขันที่ใช้พละกำลังเป็นอย่างมากและมักจะมีข่าวถึงอาการบาดเจ็บที่มักจะเกิดขึ้นจากการปะทะของผู้เล่นโดยตรงอยู่เสมอ ซึ่งหนึ่งในนักกีฬาผู้โชคร้ายจากเกมกีฬาคนชนคนก็คือ เอริค เลอแกรนด์ ที่บังเอิญได้รับอาการบาดเจ็บในช่วงวัย 20 ปีเท่านั้น ก่อนที่ตัวเขาจะไม่มีสามารถกลับคืนสู่สนามได้อีกเลยจากอุบัติเหตุครั้งนั้นที่ทำให้เลอแกรนด์กลายเป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงคอลงมา รวมถึงเหตุการณ์นี้จะทำให้ทางสมาคมเอ็นเอฟแอได้ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงกฎเสียใหม่เพื่อความปลอดภัยมากขึ้นอีกด้วย                ตัวของ เอริค เลอแกรนด์ ได้เข้าสู่วงการอเมริกันฟุตบอลขึ้นมาในปี 2008 หลังจากที่ตัวเขาได้กลายเป็นผู้เล่นตัวรับหรือไลน์แมนจากความแข็งแรงของร่างกายกับความเร็วที่เจ้าตัวมี ก่อนที่จะมีโอกาสลงเล่นให้กับทีมรัทเกอร์สได้ถึง 13 เกมตลอดฤดูกาล จากการเข้าปะทะได้ถึง 33 ครั้งด้วยกัน ก่อนที่ในปีต่อมาเขาจะยังเป็นผู้เล่นมากประโยชน์ของทีมต้นสังกัดต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการทำแทคเคิ่ลในช่วงตั้งเตะได้มากถึง 13 ครั้ง หรือจะเป็นการทำแทคเคิ่ลถึง 4 ครั้งในเกมเดียวที่แข่งขันกับทีมแมรี่แลนด์เทอร์ราพินส์ จนกระทั่งผลงานที่ทำไว้อย่างดีในหกเกมแรกจะมาถึงจุดจบ หลังจากที่เกิดการปะทะครั้งสำคัญในชีวิตของเลอแกรนด์ จากเกมอเมริกันฟุตบอลที่ เอริค เลอแกรนด์ ลงเล่นให้กับทีมรัทเกอร์ส เพื่อเจอกับทีมอาร์มี่ในวันที่ 16 ตุลาคม ปี 2010 ทางเลอแกรนที่พยายามจะเข้าไปแทคเคิ่ลมัลคอล์ม บราวน์ผู้ถือลูกบอลในจังหวะคิกออฟนั่น ได้วิ่งและใช้หัวพุ่งต่ำโดยไม่ได้ตั้งใจและทำให้หัวของเขากระแทกกับเกราะหัวไหล่ของบรานว์เข้าอย่างจัง แม้ว่าตัวของเลอแกรนด์จะสามารถหยุดเกมรุกของอีกฝ่ายไว้ได้ แต่ทว่าร่างกายของเขากลับนิ่งไปและไม่สามารถขยับตัวตั้งแต่คอลงมาอีกเลย นอกจากนี้ยังไม่สามารถหายใจได้เองหลังจากจังหวะนั้นอีกเช่นกัน โชคยังดีที่เอริค เลอแกรนด์ไม่ได้เสียชีวิตหลังจากเหตุการณ์นั้น แม้ว่าอาชีพ อเมริกันฟุตบอล ของเขาจะจบลงไปอย่างน่าเสียดาย แต่อาการอัมพาตของเขาก็เริ่มจะมีการฟื้นฟูขึ้นมาบ้างแล้ว หลังจากที่ตัวเขาเริ่มจะขยับร่างกายช่วงหัวไหล่และยังคงทำการกายภาพบำบัดเพื่อรอคอยให้สถาพร่างกายกลับมาฟื้นฟูอีกครั้งนั่นเอง ติดตามเรื่องราวของนักกีฬาอีกมากมายได้ที่ […]

Continue Reading
เฟียสต้าโบลว์

เฟียสต้าโบลว์ ที่ไม่น่าจดจำของวิลลิส แมคเกฮี เพราะได้รับอาการบาดเจ็บจากการเข้าปะทะ

ชื่อของวิลลิส แมคเกฮีน่าจะเป็นที่จดจำของแฟนอเมริกันฟุตบอลอยู่ไม่น้อย เมื่ออดีตรันนิ่งแบคของทีมบัลติมอร์เรเว่นส์ เดนเวอร์บรอนโค่และคีฟแลนด์บรานว์ได้ลงเล่นให้เอ็นเอฟแอลมาเป็นเวลาหลายปี แต่หากย้อนกลับไปสมัยที่เขายังเล่นให้กับทีมไมอามี่นั่น เจ้าตัวอาจไม่ได้มีความทรงจำที่ดีเท่าไหร่นักในรายการ เฟียสต้าโบลว์ ที่เจ้าตัวได้รับอาการบาดเจ็บจากการเข้าปะทะจนทำให้เข่าบิดเลยทีเดียว ซึ่งโชคยังดีที่เขาสามารถรักษาสภาพร่างกายกลับคืนมาได้ทันเวลาก่อนที่จะเกิดการดราฟตัวประจำปร 2003 ได้นั่นเอง                ในเกมอเมริกันฟุตบอลรายการ เฟียสต้าโบลว์ นั้น ทีมของแมคเกฮีอย่างไมอามี่ได้เจอกับทีมบัคอายที่ในช่วงควอเตอร์ที่สี่ของเกมนั้น ทางแมคเกฮีได้ถูกผู้เล่นของทีมบัคอายอย่างวิล อัลเลนพุ่งเข้ามาขวางจนทำให้เข่าซ้ายของเขาบิดไปด้านหลังและทำให้เอ็นหัวเข่าทั้งสามสายฉีกทั้งหมด ผลก็คือทีมไมอมี่ของเขาต้องแพ้เกมนั้นไปด้วยสกอร์ 31 ต่อ 24 และเจ้าตัวก็ต้องเข้ารับการผ่าตัดอยู่หลายครั้ง รวมถึงการทำกายภาพบำบัดอย่างหนัก เพื่อที่จะกลับมาลงสนามอีกครั้งให้ได้ ก่อนที่จะได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มดราฟต์ตัวผู้เล่นได้ทันในช่วงที่ฤดูกาลจบลงไป ในเกมอเมริกันฟุตบอลรายการ เฟียสต้าโบลว์ นั้น ทีมของแมคเกฮีอย่างไมอามี่                ตามสถิติของวิลลิส แมคเกฮีในช่วงที่ลงเล่นอเมริกันฟุตบอลของระดับมหาวิทยาลัยนั้นก็น่าสนใจไม่น้อย เมื่อเขาสามารถวิ่งไปได้มากถึง 2,067 หลาและทำทัชดาวน์ได้ถึง 31 ครั้ง จนกระทั่งเขาได้ถูกทีมบัฟฟาโล่บิลส์เลือกตัวไปในรอบที่ 23 จากเดิมนั้นเขาถือว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นท็อปห้าที่อาจถูกเลือกได้เลย แต่กลับเกิดอาการบาดเจ็บไปเสียก่อน สุดท้ายแล้วเจ้าตัวก็ได้ไปโลดแล่นในลีกสูงสุดอย่างเอ็นเอฟแอลได้สำเร็จ แม้ว่าจะไม่ได้ประสบความสำเร็จในการเล่นในทีมใดทีมหนึ่งก็ตาม                ต้องบอกว่าวิลลิส แมคเกฮีเป็นหนึ่งในผู้เล่นรันนิ่งแบคที่แฟน อเมริกันฟุตบอล ในยุค 2000 คุ้นหน้ากันอย่างแน่นอนจากการลงเล่นมาตลอดหลายปี แม้ว่าจุดเริ่มต้นของเขาอาจไม่ได้โรบด้วยกลีบกุหลาบจากอาการบาดเจ็บในรายการเฟียสต้าโบลว์แต่สุดท้ายเขาก็สามารถกลับมาโลดแล่นในลีกสำคัญได้นานถึงปี 2013 เลยทีเดียว ติดตามเรื่องราวกีฬาที่ส่งตรงถึงบ้านคุณได้ที่ […]

Continue Reading
วอร์ชิงตันเรดสกินส์

วอร์ชิงตันเรดสกินส์ การสกัดที่ไม่คาดคิดในอเมริกันฟุตบอลปี 1985

เกมคนชนคนถือเป็นกีฬาที่ดูดุเดือดตามชื่อที่คนไทยรู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่ทว่าหลายคนก็คงไม่คาดว่า จะเกิดเหตุการณ์บาดเจ็บรุนแรงอย่างในเกมบิ๊กแมตช์ระหว่าง วอร์ชิงตันเรดสกินส์ กับนิวยอร์คไจแอนด์อย่างแน่นอน ซึ่งในเกมคืนวันจันทร์ที่ 18 เดือนพฤศจิกายนปี 1985 ได้ทำให้ผู้ชมทางบ้านหรือในสนามคงไม่มีทางลืมภาพนี้ไปได้ตลอดกาลตามที่หนังสือพิมพ์อย่างวอชิงตันโพสต์ได้ว่าไว้อย่างแน่นอน เมื่อผู้เล่นอย่างโจ ไธส์แมนได้ถูกลอว์เรนซ์ เทย์เลอร์และแฮรืรี่ คาร์สันได้เข้าสกัดเขาจนทำให้ขาของไธส์แมนหักเป็นสองท่อนทันทีนั่นเอง                ในจังหวะที่ วอร์ชิงตันเรดสกินส์ ได้เป็นฝ่ายบุกนั้น ทางโจ ไธส์แมนกำลังจะถือลูกฝ่าเข้าไปในแดมของฝ่ายตรงข้าม แต่โดยลอว์เรนซ์ เทย์เลอร์พุ่งเข้ามาจากข้างหลังแล้วเข่าของไลน์แบคเกอร์คนนี้บังเอิญกระแทกเข้าไปที่ขาของไธส์แมนเข้าอย่างจังจนขาหักและด้วยความไม่รู้ของผู้เล่นคนอื่นก็ได้โถมตัวเข้าไปทับผู้เล่นของเรดสกินส์คนนี้เข้าไปอีก จนทางเทย์เลอร์ที่เห็นว่าเกิดอุบัติเหตุเข้าแล้วจำเป็นต้องเรียกทีมแพทย์เข้ามาในสนามทันที แม้ว่าจะเป็นผู้เล่นของฝ่ายตรงข้ามก็ตาม ซึ่งทางผู้บรรยายในคืนนั้นอย่างแฟรงค์ กริฟฟอร์ดหรือโจ แนแมธต่างก็เรียกให้คนเข้าไปช่วยเขาโดยด่วนเช่นกัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเกมระหว่าง วอร์ชิงตันเรดสกินส์ กับนิวยอร์คไจแอนด์  ได้ถูกฉายภาพซ้ำให้ผู้ชมทางบ้านที่ตอนแรกไม่ได้เห็นเหตุการณ์เต็ม จนทำให้ช่วงวันนั้นอาการบาดเจ็บของไธส์แมนกลายเป็นที่ผู้ถึงไปทั่วประเทศเลยทีเดียว จนทำให้เกิดคำวิจารณ์ไปมากมายต่อสมาคมเอ็นเอฟแอลที่เลือกจะฉายภาพที่สะเทือนขวัญมากเกินไป ส่วนผลการของการรักษาของไธส์แมนนั้น กระดูกของเขาไม่อาจจะคืนสภาพได้มากพออจนทำให้ขาขวาของเขาสั้นลงไปและไม่สามารถกลับมาลงสนามได้เหมือนเดิมพร้อมกับประกาศลาสนามไปในวัย 36 ปีเท่านั้น แม้ว่าเขาต้องการจะลงเล่นต่อไปก็ตาม                หลังจากที่เกมของวอร์ชิงตันเรดสกินส์กับนิวยอร์คไจแอนด์จบลงไปแล้วนั้น ทางลอว์เรนซ์ เทย์เลอร์ก็ได้ออกมาขอโทษต่อโจ ไธส์แมนอยู่บ่อยครั้ง โดยทางไธส์แมนก็ออกมาเอ่ยปากว่า เขาไม่ได้คิดโกรธอะไร เพราะเทย์เลอร์ก็เล่นตามหน้าที่เท่านั้น ส่วนทางไธสืแมนก็หันไปเอาดีด้านการแสดงและผู้บรรยายใน อเมริกันฟุตบอล ต่อไปและยังสามารถติดตามข่าวนี้เพิ่มเติมได้ที่ ข่าวกีฬาต่างประเทศ นอกจากเพื่อน ๆ แฟนคอกีฬายังสามารถร่วมเล่นเกมและวางเดิมพันกับเราได้ที่เว็บไซต์ UFACasino55 รับรองได้ว่าต้องถูกใจคอกีฬาอย่างแน่นอน

Continue Reading